ธรรมชาติไม่รู้สึก
มนุษย์ โฮโมเซเปียนส์
ชาดก เรื่องเล่า ศาสนา การเมือง ศิลปะ วัฒนธรรม
มนุษย์เราได้ถักร้อยสัญญะต่าง ๆ มากมาย มาคั่นกลางระหว่างธรรมขชาติกับความเป็นมนุษย์ ในตอนแรก มนุษย์เราอาจสร้างสัญญะขึ้นเพื่อช่วยเชื่อมร้อยระหว่างเรากับธรรมชาติ และเพื่อตอบคำถามว่าอาจมีสิ่งที่ยิ่งไปกว่าการมีชีวิต
เมื่อผ่านวันเวลา สิ่งที่เราถักทอกลับบดบังสายใยแรกเริ่มนั้นจนหมด เหลือเพียงรอยทางที่บอกใบ้ถึงที่มา ว่าเรามาจากไหน รอยทางเหล่านั้นจำนวนมากมาย แต่เลือนราง ได้ทิ้งสำคัญไว้ว่า
อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดต่อการมีอยู่ของสายพันธุ์เรา
หน้าที่ของเราในธรรมชาติคืออะไร และยังมีอยู่ไหม
หรือ
เราเหลือหน้าที่เพียงรับใช้เรื่องราวที่เราเชื่อและบูชา
ในชุดผลงานนี้ ผมจึงนำเสนอฉากเกี่ยวเนื่องของมนุษย์และธรรมชาติ ผ่านหลายรอบทางที่คล้ายว่าจะนำเรากลับสู่สามัญ แสยานุภาพของโฮโมเซเปียนส์จะเจิดจรัสได้นานเพียงใดกัน หากไร้ซึ่งระบบนิเวศที่อุ้มชู้เราไว้ มีเพียงเราที่สร้างและทำลายล้าง ที่สามารถถูกสร้างและถูกทำลายล้าง
เราคือผู้ควบคุมที่ถูกดูดกลืน
เราคือผู้ปฏิวัติที่ไม่อาจพอทักษ์การปฏิวัติ
เราคือผู้ชนะที่ไม่อาจรักษาชัยชนะไว้ได้
ธรรมชาติไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับเรา
ในนิทรรศการณ์ Nature Is Not Saddened เป็นการนำเสนอความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และธรรมชาติผ่านสัญญะ ในบริบทที่ต่างออกไปเพื่อสะท้อนให้แง่มุมใหม่ๆของสายสัมพันธ์นี้ การนำเสนอศาตร์ต่างๆผ่านสัญญะที่เชื่อมรอยนำเรากลับไปหาธรรมชาติและรอยทางของเราในอดีต ผ่านเนื้อหาของ ตำนาน ชาดกเรื่องเล่า วัฒนธรรม ศิลปะ ประวัติศาสตร์ เปรียบเปรยกับวิถีทางในปัจจุบันของมนุษย์ การแตกกิ่งก้านของเนื้อหาที่แตกกระจายและเข้ายึดของความจริง แทนที่ควบคุมมันด้วยความหมาย จินตนาการของเรา ความคิดและความรู้ที่เป็นอุปกรณ์สำคัญในการเชื่อมโยงมนุษย์เข้าไว้ด้วยกัน มีผลกับธรรมชาติอย่างไร
จากความรู้สู่การลงมือทำ สู่งานศิลปะ
ในแรกเริ่มผมรู้จักธรรมชาติและความจริงผ่านประสบการณ์ที่ถูกส่งต่อผ่านหนังสือสะสมเรื่องราวและโลกทรรศ์ใหม่ๆ และความรักในความรู้นั้นนำพา จนผมได้มีโอกาสมาทำงานอนุรักษ์เผยแพร่ความรู้และความจริงถึงความสำคัญของธรรมชาติผ่านศิลปะ หากมองไปไกลกว่าชั่วชีวิตจะพบว่าเราต้องส่งต่อทุกสิ่งให้คนรุ่นต่อไป สำหรับผมพวกเค้าคือความหวังของสายพันธุ์และความรักต่อธรรมชาติที่เราปลูกไว้ ก็หวังว่ามันจะเติบโตต่อในคนรุ่นต่อไป
ในการทำงานศิลปะผมใช้เทคนิคwood engraving เป็นเทคนิคในการทำงานและมีการพัฒนาแม่พิมพ์จากไม้มาเป็นเรซิ่นเพื่อลดข้อจำกัดของเทคนิค การไปมาระหว่างป่ากับเมืองทำให้ผมเห็นความสัมพันธ์ของทั้งสองที่ แง่มุมนึงเราเป็นผู้ที่ต้องพึ่งพาทรัพยากรจากธรรมชาติเพื่อเลี้ยงเมือง และสิ่งที่ควรเกิดขึ้นคือการดูแลอนุรักษ์ที่มาของทรัพยากรของเรา แต่ทว่ามันเกิดขึ้นน้อย
การเข้าป่ากระตุ้นผมให้คิดถึงอดีตของมนุษย์การดำรงอยู่อย่างมืดบอดและความอ่อนแอของเราลดทอนอัตตาความเชื่อว่าเรานั้นแข็งแกร่งที่สุดในห้วงโซ่นี้ ความรู้สึกและเรื่องราวที่ยากอธิบายในป่าเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างฟอร์ม รูปทรง ผ่านเส้นการแกะออกมาเป็นหน้าตาของระบบนิเวศผ่านตำนาน เรื่องเล่าในท้องถิ่นและตะกอนความรู้สึกของผมที่มีต่อธรรมชาติ
การผสมผสานเรื่องราวที่คนทั่วๆไปรู้มาประกอบการหยิบยืมเนื้อหาและภาพมา เพราะหวังว่าผู้คนจะนำเอาความเข้าใจเดิม มาร่วมใช้ในบริบทใหม่ของเนื้อหาและภาพที่ผมหยิบมาใช้อธิบายออกมาเป็นนิทรรศการ Nature Is Not Saddened
[ngg src=”galleries” ids=”16″ display=”basic_thumbnail” thumbnail_crop=”0″]รายได้10เปอร์เซ็นจากการขายทั้งหมดผมจะนำไปมอบให้โครงการนกเงือก(Thailand hornbill research Foundation)และทุนการศึกษาสำหรับนักเรียนโรงเรียนในเครือข่ายอนุรักษ์และบุตรธิดาเจ้าหน้าที่ชื่อ ทุนสืบเจตนารักษ์ป่าห้วยขาแข้ง ในงานรำลึก30ปี สืบ นาคะเสถียร
This piece was prepared online by Panuruji Kenta, Publisher, SEVENSEAS Media